เป็นหนี้อย่างไร ไม่ให้มีปัญหากวนใจทีหลัง

“หนี้” คำสั้น ๆ แต่สะเทือนใจสำหรับหลายคน แม้ว่าในมุมหนึ่ง การเป็นหนี้อาจเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสในชีวิต เช่น การซื้อบ้าน การลงทุนธุรกิจ หรือเรียนต่อ แต่ถ้าขาดการวางแผนหรือบริหารที่ไม่ดี ก็อาจกลายเป็นภาระที่ตามหลอกหลอนและสร้างความเครียดให้ในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตาม การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด หากเรารู้จักวางแผน และบริหารจัดการอย่างมีสติ คุณก็สามารถเป็นหนี้อย่างมีความสุข และไม่ต้องกังวลใจในภายหลัง
ดังนั้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักวิธีการเป็นหนี้อย่างชาญฉลาด เพื่อไม่ให้ปัญหาหนี้มากวนใจคุณ
เป็นหนี้เท่าไรถึงเรียกว่า “การสร้างภาระ”
หากถามว่า “เป็นหนี้เท่าไรถึงเรียกว่าการสร้างภาระ” เราจะเรียกว่าเป็น ‘ภาระหนี้’ ก็ต่อเมื่อยอดหนี้ที่มีอยู่เกินความสามารถในการชำระ หรือไม่เหมาะสมกับรายได้ที่มีอยู่ปัจจุบัน ดังนั้น หนี้เหล่านั้น จะกลายเป็น “ภาระหนี้” ได้ทันที ดังนั้น คุณจำเป็นต้องเข้าใจประเภทของหนี้ เพื่อช่วยในการตัดสินใจก่อนก่อหนี้อย่างมีสติ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. หนี้สร้างรายได้ คือ หนี้ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา “ทรัพย์สิน” หรือ “ศักยภาพ” ช่วยเพิ่มทรัพย์สิน หรือเพิ่มรายได้ในอนาคต เช่น กู้ซื้อบ้านเพื่อปล่อยเช่า กู้ซื้อเครื่องจักรสำหรับธุรกิจ กู้เรียนเพื่อเพิ่มทักษะ
2. หนี้ไม่สร้างรายได้ คือ หนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายบริโภค ซึ่งอาจจำเป็นแต่ไม่ได้เพิ่มรายได้ เช่น กู้ซื้อของใช้ส่วนตัว หรือผ่อนสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น ผ่อนมือถือรุ่นใหม่ ผ่อนทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มในอนาคต หรือ หนี้จากการพนัน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
เมื่อรู้จักประเภทของหนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การรู้ตัวเอง และเข้าใจเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของเจ้าหนี้ ในฐานะ "ว่าที่ลูกหนี้" เราจำเป็นต้องไตร่ตรองให้รอบคอบว่าการก่อหนี้ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตจริงหรือไม่? สามารถรอได้ไหม? เพื่อเก็บเงินให้ครบก่อนซื้อ เพื่อช่วยลดภาระการกู้ยืม หรืออาจเลือกเก็บเงินดาวน์ให้มากขึ้น เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องกู้ให้น้อยลง
หรือคุณอาจทดลอง "ซ้อมผ่อน" เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อประเมินความสามารถในการจ่าย หากสามารถผ่อนชำระได้อย่างไม่ติดขัด เงินยังพอใช้จ่ายและไม่รู้สึกตึงมือเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดีในการตัดสินใจกู้เงิน

ประเมินว่าภาระหนี้ของคุณเกินตัวหรือไม่?
โดยปกติ สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ที่เหมาะสม ต้องไม่เกิน 1 ใน 3 หรือ ประมาณ 33% ของรายได้ต่อเดือน ไม่แนะนำให้กู้หนี้เพิ่มอีกหากไม่จำเป็น หรือถ้าเป็นหนี้แล้วก็ควรต้องจ่ายให้เต็มจำนวนและตรงเวลา
หากคุณมีภาระหนี้เกิน 1 ใน 3 หรือประมาณ 33% แต่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 50% ของรายได้ต่อเดือนไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น และควรหารายได้พิเศษ
หากคุณมีภาระหนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 50% ของรายได้ต่อเดือน ไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น และหารายได้พิเศษเพิ่มเติม เปิดใจคุยกับคนในครอบครัว และติดต่อเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้
ตัวอย่างการคำนวณสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ เช่น
หากคุณมีรายได้สุทธิเดือนละ 30,000 บาท/เดือน
ภาระหนี้รวมที่ไม่ควรเกิน คือ 12,000 บาท (30%)
หากภาระหนี้ของคุณสูงกว่านี้ เช่น ผ่อนรถ 8,000 + ผ่อนบ้าน 10,000 + ผ่อนบัตรเครดิต 5,000 = 23,000 บาท/เดือน
เมื่อเทียบกับรายได้ 30,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนหนี้: 76%
นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า “คุณแบกรับหนี้เกินตัว” และกำลังเสี่ยงต่อปัญหาทางการเงิน

ไม่ได้จบที่ “หนี้” แต่บางที “หนี้” อาจมาในรูปแบบของ “ดอกเบี้ย”
หลายคนคิดว่าความน่ากังวลของการเป็นหนี้อยู่ที่ยอดเงินต้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง “ดอกเบี้ย” คือสิ่งที่อาจทำให้ภาระหนี้บานปลายโดยไม่รู้ตัว หากไม่เข้าใจวิธีการคิดดอกเบี้ยให้ดีพอ โดยดอกเบี้ยจะมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1. อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ซึ่งจะเป็น ดอกเบี้ย “คงที่” ตลอดอายุสัญญาเงินกู้ ทำให้วางแผนการเงินง่าย รู้ยอดผ่อนล่วงหน้า เหมาะกับคนที่ไม่อยากเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด
2. อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) คือ ดอกเบี้ยจะเปลี่ยนตามภาวะเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยในตลาด อาจต่ำในช่วงแรก แต่มีโอกาสปรับขึ้นในอนาคต เหมาะกับผู้ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มดอกเบี้ยจะลดลง หรือสามารถรีไฟแนนซ์ได้ในอนาคต
เมื่อรู้จักประเภทดอกเบี้ยแล้ว วิธีการคิดดอกเบี้ยก็สำคัญไม่แพ้กัน
- หากเป็นวิธีคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ดอกเบี้ยจะลดลงเรื่อย ๆ ตามยอดเงินต้นที่ลดลงในแต่ละเดือน ยิ่งจ่ายเงินต้นได้มาก ดอกเบี้ยรวมก็จะน้อย มักใช้กับสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต
- หากเป็นวิธีคิดดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) ดอกเบี้ยจะคิดจากเงินต้นเต็มจำนวนตลอดสัญญา แม้ยอดหนี้จะลดลงแล้วก็ตาม ทำให้ยอดดอกเบี้ยรวมสูงกว่าการคิดแบบลดต้นลดดอก มักใช้กับสินเชื่อรถยนต์ หรือบัตรผ่อนสินค้า
บทสรุป
การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด หากเป็น “หนี้อย่างมีวินัย” มีสติ และไม่ประมาท และเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อทำความเข้าใจหนี้ได้ชัดเจนว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนา ไม่ใช่สร้างภาระชีวิต ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อหรือกู้เงิน แต่ถ้ามีปัญหาภาระหนี้เกินจะจัดการได้ ควรคุยกับเจ้าหนี้เปิดใจหาทางแก้ไข วางแผนรายรับ-รายจ่ายเสมอ และมองหาช่องทางเพิ่มรายได้ เพื่อหลุดพ้นจากปัญหาภาระหนี้โดยเร็วที่สุด
อ้างอิงข้อมูลจาก
Recent Posts
View All-
26 มิถุนายน 2568เตรียมความพร้อมอย่างไร เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
-
26 มิถุนายน 2568รายได้ลดลง จัดการเงินยังไงดี
-
26 มิถุนายน 2568จากลูกค้าใหม่ กลายเป็นลูกค้าประจำ ด้วย 5 เทคนิคมัดใจลูกค้า ให้กลับมาซื้อซ้ำ
-
26 มิถุนายน 2568แยกเงินส่วนตัว กับ เงินธุรกิจให้ชัดเจน กุญแจสำคัญสู่ความมั่งคั่งที่พ่อค้าแม่ค้าไม่ควรมองข้าม