รายได้ลดลง จัดการเงินยังไงดี

“รายได้ลดลงแบบไม่ทันตั้งตัว จะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไปดี?”
ประโยคนี้อาจเคยวนเข้ามาในความคิดของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจผันผวน ตกงานกะทันหัน หรือธุรกิจเงียบผิดปกติ รายได้ที่เคยมั่นคงกลับหายวับไปในพริบตา ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับความเครียด วิตกกังวล และคำถามสำคัญว่าจะจัดการ การเงินอย่างไรต่อดีในช่วงเวลาที่รายได้ลดลง?
หากคุณกำลังเผชิญสถานการณ์แบบนี้อยู่ บทความนี้เราจะพาคุณไปสำรวจแนวทางจัดการการเงินอย่างมีสติ ฝ่าวิกฤตโดยไม่ต้องหมดตัว พร้อมแนะนำวิธีคิดที่ช่วยให้คุณยืนได้อย่างมั่นคงแม้ในวันที่รายได้ไม่เหมือนเดิม
1. วาง “แผนใช้เงิน” อย่างจริงจัง
เมื่อรายได้ลดลง สิ่งที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาดคือ “การวางแผนใช้เงิน” เพราะการใช้จ่ายโดยไม่มีแผน อาจทำให้เงินที่มีอยู่ไม่พอใช้เร็วกว่าที่คิด
ลองหยิบกระดาษ หรือเปิดแอปจดบันทึกขึ้นมา แล้วเริ่มจาก 3 อย่างนี้
- จดรายรับทั้งหมดที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ว่ามีเงินเข้ามาเท่าไหร่ มาจากทางไหนบ้าง แล้วรวมยอดออกมาเป็นรายรับรวมต่อเดือน
- แจกแจงรายจ่ายที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ว่าจ่ายอะไรบ้างในแต่ละเดือน? ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง แล้วรวมยอดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายรวมต่อเดือน
- เปรียบเทียบรายรับ-รายจ่าย ถ้ารายจ่ายมากกว่ารายรับ แสดงว่ารายรับของเราไม่สามารถครอบคลุมรายจ่ายที่เกิดขึ้นได้ ต้องมีการปรับแผนการใช้เงินทันที
เคล็ดลับคือแบ่งรายจ่ายให้ชัดเจน เช่น รายจ่ายจำเป็น vs รายจ่ายเพื่อความสะดวกสบาย แล้ววางแผนให้รายจ่าย “ไม่เกิน” หรือ “น้อยกว่ารายรับ” เสมอ ถ้าอยากให้ชีวิตปลอดภัยขึ้นอีกขั้น ลองทำแผนล่วงหน้าสัก 3 เดือน เผื่อไว้รับมือเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจตามมา
2. หาทางออก และแก้ปัญหาหนี้แบบจริงจังอย่างเป็นระบบ
“หนี้” ไม่ใช่สิ่งที่เราจะหยุดจ่ายได้ แม้เงินจะน้อยลงแค่ไหนก็ตาม ถ้าในแผนใช้เงินยังมีเงินพอผ่อนหนี้ต่อเนื่อง ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าเริ่มรู้สึกว่า “ไม่ไหวแล้ว” ให้มองหาแนวทาง และหาวิธีจัดการทันที โดยสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. เริ่มต้นการลิสต์หนี้ทุกอย่างที่มี โดยใส่รายละเอียดให้ครบ เช่น หนี้จากไหน (บัตรเครดิต, สินเชื่อ, ไฟแนนซ์ ฯลฯ) ยอดคงเหลือเท่าไร อัตราดอกเบี้ย ยอดที่ต้องชำระในแต่ละเดือน วันที่ต้องจ่าย เพื่อให้เห็นภาพรวมได้ง่ายในหน้าเดียว ช่วยให้การวางแผนชำระหนี้ในขั้นตอนถัดไปเป็นไปอย่างเป็นระบบ
2.ตรวจสอบรายการหนี้ทั้งหมด โดยรวบรวมข้อมูลหนี้สินทั้งหมดของตนเอง แล้วตรวจสอบว่า มีหนี้รายการใดที่เข้าเกณฑ์ได้รับความช่วยเหลือตาม “มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของภาครัฐ” หรือไม่ หากพบว่ามีหนี้ที่เข้าข่าย ให้รีบติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้โดยตรง เพื่อแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว
3.หากยังหาทางออกปัญหาการชำระหนี้ไม่ได้ ในกรณีที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการแล้ว แต่รายได้ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอต่อการผ่อนชำระ หรือไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ ให้ดำเนินการจัดทำหนังสือยื่นต่อ “สำนักงานใหญ่ของเจ้าหนี้” เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการลดค่างวดรายเดือน หรือขอขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ
ภายในหนังสือควรระบุอย่างชัดเจนว่า
- สามารถผ่อนชำระได้เดือนละเท่าไร
- ต้องการขยายเวลาผ่อนชำระไปอีกกี่เดือน
- เหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องขอความช่วยเหลือ
หลังจากส่งหนังสือแล้ว หากสถาบันการเงินพิจารณา และมีหนังสือตอบกลับมา ควรอ่านรายละเอียดให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไข อัตราดอกเบี้ย ยอดที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละงวด รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจลงนามในข้อตกลง
ควรเริ่มดำเนินการแต่เนิ่น ๆ เพราะขั้นตอนการติดต่อกับสถาบันการเงินอาจใช้เวลานาน หากพบว่าไม่สามารถติดต่อได้ หรือไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา สามารถใช้ช่องทาง “ทางด่วนแก้หนี้” เป็นอีกทางเลือกในการติดต่อกับสถาบันการเงินเพื่อขอความช่วยเหลือ
3. ปรับตัว ลดค่าใช้จ่าย และตัดใจจากสิ่งฟุ่มเฟือย
เริ่มจากการแยกแยะก่อนว่าอะไรจำเป็น และอะไรไม่จำเป็น
- รายจ่ายจำเป็น เช่น ค่ากินอยู่ ยารักษาโรค ค่าเดินทางไปทำงาน รายจ่ายกลุ่มนี้ “ตัดไม่ได้”
- รายจ่ายไม่จำเป็น เช่น กาแฟแก้วละร้อย บัตรดูคอนเสิร์ต เครื่องสำอางใหม่ทุกเดือน สิ่งเหล่านี้ “ตัดได้” หรืออย่างน้อยก็ “ลด” ได้
แล้วลองเช็กไปทีละจุดว่าพอจะ “ลด” หรือ “ตัด” ส่วนไหนได้บ้าง อาจเริ่มจากการเลิกซื้อของบางอย่าง หยุดสมัครบริการรายเดือนที่ไม่ค่อยได้ใช้ หรือแค่ “งดของฟุ่มเฟือย 1 อย่างต่อวัน” ก็ช่วยประหยัดเงินได้เช่นกัน

4. ไม่นิ่งนอนใจ และหารายได้เพิ่ม
“รายได้ลด” แล้วจะให้หางานเพิ่มทันทีคงไม่ง่าย บางคนติดงานประจำ บางคนไม่มีทักษะที่ขายได้ในทันที เริ่มจากสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ ตอนนี้เลย เช่น
- เคลียร์บ้าน ขายของที่ไม่ได้ใช้ เสื้อผ้าเก่า กระเป๋า เครื่องใช้ไฟฟ้า ลองถ่ายรูปแล้วโพสต์ขายบน Facebook Marketplace, Shopee หรือกลุ่มมือสองก็ได้เงินเข้ามาไว
- หารายได้จากของที่มี ถ้ามีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และเวลา อาจเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ เช่น เขียนบทความ แปลภาษา ออกแบบกราฟิก
- ขายทรัพย์สินที่จำเป็นน้อยที่สุด ถ้าจำเป็นจริง ๆ เช่น โทรศัพท์รุ่นเก่า เครื่องประดับ หรือแม้แต่รถยนต์ (ถ้าไม่ได้ใช้งานประจำ) เพื่อให้มีเงินใช้จ่ายหรือชำระหนี้
5. มองหาสิทธิ์ที่มีให้เกิดประโยชน์ หรือสวัสดิการและมาตรการรัฐ
บางคนลืมไปว่าจริง ๆ แล้วตัวเองมีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่แค่ยังไม่เคยเช็กให้ดีพอ ลองย้อนกลับไปดูว่า
- คุณมีประกันสังคมหรือไม่? หากใช่ อาจมีสิทธิ์รับเงินชดเชยรายได้ กรณีว่างงาน เจ็บป่วย หรือมีบุตร
- เช็กมาตรการช่วยเหลือจากรัฐ ในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง เช่น เงินช่วยเหลือเฉพาะกิจ โครงการลดค่าน้ำ-ค่าไฟ หรือการพักหนี้ของภาครัฐ
- สวัสดิการจากที่ทำงาน หรือโครงการช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนในชุมชนหรือกลุ่มอาชีพ
แม้ว่าสิทธิ์เหล่านี้ อาจจะไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ แต่ก็สามารถช่วยให้เราผ่านช่วงวิกฤตได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องรอให้เงินหมดแล้วค่อยหันมามองโอกาสที่อาจอยู่ตรงหน้า
สรุปบทความ
การเผชิญกับ “รายได้ที่ลดลง” อย่างไม่คาดคิด ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครทั้งนั้น แต่ก็ไม่ใช่จุดจบของความมั่นคงทางการเงินเสมอไป หากเรารู้จัก “การตั้งสติ” “ปรับตัว” และ “วางแผน” การเงินให้รอบคอบ และที่สำคัญ อย่ามัวแต่รอให้เงินหมดก่อนค่อยเริ่มลงมือแก้ปัญหา แต่ต้องรู้จัก “มองหาโอกาส” ใหม่ ๆ อยู่แสมอ และ “ใช้สิทธิที่มีให้คุ้มค่า” เพื่อโอกาสพลิกสถานการณ์ทางการเงินของคุณให้ดีขึ้นในยามวิกฤตได้นั่นเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.bot.or.th/th/satang-story/money-plan/money-mgt.html
Recent Posts
View All-
26 มิถุนายน 2568เตรียมความพร้อมอย่างไร เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
-
26 มิถุนายน 2568จากลูกค้าใหม่ กลายเป็นลูกค้าประจำ ด้วย 5 เทคนิคมัดใจลูกค้า ให้กลับมาซื้อซ้ำ
-
26 มิถุนายน 2568เป็นหนี้อย่างไร ไม่ให้มีปัญหากวนใจทีหลัง
-
26 มิถุนายน 2568แยกเงินส่วนตัว กับ เงินธุรกิจให้ชัดเจน กุญแจสำคัญสู่ความมั่งคั่งที่พ่อค้าแม่ค้าไม่ควรมองข้าม