รู้ทันมิจฉาชีพ! รับมือให้เป็น ก่อนตกเป็นเหยื่อ

ทุกวันนี้… มิจฉาชีพไม่ได้อยู่แค่ในตรอกมืดหรือมุมเปลี่ยวอีกต่อไป
เพราะในโลกที่ภัยใกล้ตัวเพียงปลายนิ้ว แต่พวกมิจฉาชีพในยุคนี้ มักแฝงตัวอยู่ในโทรศัพท์ โซเชียลมีเดีย และแม้แต่ข้อความ SMS ที่คุณเปิดอ่านทุกวัน ด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่แนบเนียนและเนื้อหาที่ชวนให้เชื่อ พวกเขาสามารถหลอกให้ “คนธรรมดา” กลายเป็น “เหยื่อ” ได้ในพริบตา ไม่ว่าคุณจะระวังตัวมากแค่ไหนก็ตาม
บทความนี้จะพาคุณไปรู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่าง ๆ ที่มิจฉาชีพนิยมใช้ คำแนะนำ และวิธีการรับมืออย่างมีสติ ไม่ให้คุณตกเป็นเหยื่อรายต่อไป
กลโกงทางโทรศัพท์แก๊งคอลเซนเตอร์
ในปัจจุบัน “กลโกงทางโทรศัพท์” โดยเฉพาะของ แก๊งคอลเซนเตอร์ เป็นหนึ่งในภัยออนไลน์ที่พบได้บ่อย และสร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก มักหลอกล่อให้เหยื่อตกใจ เชื่อถือ และยอมให้ข้อมูลสำคัญหรือโอนเงินให้โดยสมัครใจ โดยข้ออ้างที่มิจฉาชีพมักใช้หลอกเหยื่อมีดังนี้
1. บัญชีเงินฝากถูกอายัด / เป็นหนี้บัตรเครดิต
มิจฉาชีพจะแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคาร, สำนักงานตำรวจ, หรือหน่วยงานรัฐ แจ้งกับเหยื่อว่าบัญชีธนาคารของตนถูกอายัด หรือพบว่ามีหนี้ค้างชำระจากบัตรเครดิต โดยจะสร้างสถานการณ์ให้เหยื่อตกใจ และง่ายต่อการชักจูงเหยื่อให้โอนเงิน
2. บัญชีเงินฝากพัวพันกับการค้ายาเสพติดหรือการฟอกเงิน
มิจฉาชีพมักอ้างว่า “บัญชีของคุณถูกใช้ในการฟอกเงิน หรือเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด” และอ้างว่ามีหมายจับ หรือเอกสารจากทางราชการ เพื่อให้เหยื่อต้องรีบดำเนินการเคลียร์คดีผ่าน “บัญชีกลาง” หรือโอนเงินไปเพื่อตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าคุณบริสุทธิ์ และจะได้เงินคืน
3. เงินคืนภาษี
มิจฉาชีพจะอ้างว่าโทรมาจากกรมสรรพากร หรือหน่วยงานด้านภาษี แจ้งกับเหยื่อว่า “คุณมีสิทธิ์ได้เงินคืนภาษี” โดยจะหลอกเหยื่อให้ส่งเลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรประชาชน หรือข้อมูลบัตรเครดิต หรือยืนยันรายการและทำตามคำบอกที่ตู้เอทีเอ็ม แต่แท้จริงแล้วเป็นขั้นตอนโอนเงินให้กับมิจฉาชีพ บางรายอาจส่งลิงก์ให้คุณคลิกเพื่อกรอกข้อมูล ซึ่งเป็นกลลวงเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือนำไปแฮ็กบัญชี
4. โชคดีรับรางวัลใหญ่
มักมาในรูปแบบโทรศัพท์หรือ SMS ตัวแทนองค์กรต่าง ๆ แจ้งข้อความในลักษณะจูงใจว่า “เหยื่อได้รับเงินรางวัลหรือของรางวัลมูลค่าสูง” แต่มีเงื่อนไขว่าต้องโอนเงินค่าภาษี หรือค่าจัดไปส่งก่อนถึงจะรับรางวัลได้ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีรางวัลใด ๆ รออยู่
5. หลอกขอข้อมูลส่วนตัว
มิจฉาชีพอาจอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ หลอกด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยหลอกขอ “ข้อมูลส่วนตัว” เช่น เลขบัตรประชาชน วันเกิด รหัส OTP เลขบัญชี หรือรหัสผ่าน โดยอ้างว่าเพื่อนำไปตรวจสอบ ซึ่งแท้จริงแล้วใช้เพื่อเข้าถึงบัญชีออนไลน์ของเหยื่อ และขโมยเงิน หรือนำไปใช้ในทางทุจริต
6. โอนเงินผิด
มิจฉาชีพอาจใช้วิธี “โอนเงินเข้าบัญชีเหยื่อจริง” โดยแอบอ้างว่าโอนผิด พร้อมแนบสลิปปลอม แล้วโทรหรือทักแชตมาขอให้โอนคืน แต่ที่จริงแล้วเงินที่เข้าบัญชีนั้นมาจากการหลอกเหยื่อรายอื่น เมื่อเหยื่อโอนกลับไป ก็เท่ากับว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการฟอกเงิน และอาจมีความรับผิดทางกฎหมายตามในภายหลัง
วิธีป้องกัน
- อย่าหลงเชื่อหรือตกใจโดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่หรือหลอกล่อให้ดีใจ
- ตรวจสอบข้อมูลหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงให้แน่ชัด โทรสอบถามกลับยังหน่วยงานจริงด้วยเบอร์ทางการ
- ไม่ให้ข้อมูลสำคัญใด ๆ ทางโทรศัพท์ เช่น เลข OTP, รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตร
- อย่าคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จักหรือมีท่าทีแปลก
- ติดตามข่าวสารกลโกงเป็นประจำ เพื่อรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกง
- หากสงสัยว่าโดนหลอก ให้รีบแจ้งธนาคาร และแจ้งความโดยเร็วที่สุด
- หากมีคนโอนเงินผิดบัญชีมาที่บัญชีเรา ไม่ควรโอนเงินคืนเองควรสอบถาม call center หรือสาขาของธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่ให้ดําเนินการตรวจสอบรายละเอียด https://www.bot.or.th/th/satang-story/fraud/call-center.html

กลโกงออนไลน์อื่น ๆ
แม้อินเทอร์เน็ตทำให้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น แต่มีความอันตรายแฝงมาด้วย เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้มิจฉาชีพเข้าใกล้เหยื่อมากขึ้น และหลอกลวงเงินไปจากเหยื่อได้โดยง่าย ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับกลโกงออนไลน์ที่พบบ่อย ๆ กัน
1. หลอกขอรหัสผ่านการใช้งานบัญชีอีเมล
มิจฉาชีพจะติดต่อเหยื่อผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น อีเมล, SMS, โทรศัพท์ หรือแชต โดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทบริการอีเมล เช่น Google, Microsoft ฯลฯ แล้วอ้างเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหลอกขอรหัสผ่าน หากเหยื่อหลงเชื่อ และให้รหัสผ่านไป มิจฉาชีพสามารถเข้ายึดบัญชีอีเมลและขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลรีเซ็ตรหัสผ่านธนาคาร หรือใช้บัญชีนั้นปลอมตัวติดต่อหลอกลวงบุคคลอื่นต่อ
2. แอบอ้างเป็นบุคคลต่าง ๆ หลอกว่าจะโอนเงินหรือส่งของให้เหยื่อ
มิจฉาชีพจะปลอมตัวเป็นคนรู้จัก ญาติ หรือเพื่อนในโซเชียลมีเดีย หลอกเหยื่อว่าจะโอนเงิน ส่งของมาให้จากต่างประเทศ โดยหากเหยื่อหลงเชื่อ และโอนเงินไปชำระค่าธรรมเนียม ค่าภาษี หรือค่าจัดส่ง โดยไม่ได้รับเงินหรือของใด ๆ จริง
3. โฆษณาปล่อยเงินกู้นอกระบบ
พบได้มากตามโซเชียลมีเดียหรือกลุ่มไลน์ มิจฉาชีพจะโพสต์ด้วยข้อความว่า "อนุมัติไว ไม่เช็กเครดิตบูโร" "ไม่มีเอกสารก็ยืมได้" หรือ "ปล่อยกู้ด่วน รับเงินภายใน 15 นาที" จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อโอนเงินค่านายหน้า ค่าประกัน หรือค่าดำเนินการก่อน โดยไม่มีการโอนเงินจริงให้ในภายหลัง หรืออาจถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางผิดกฎหมายได้
4. แอบอ้างเป็นบุคคลต่าง ๆ หลอกให้เหยื่อโอนเงินให้
มิจฉาชีพจะสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ บุคลากรทางการแพทย์ บุคคลในเครื่องแบบ หรือพนักงานบริษัทเอกชน แล้วอ้างว่ามีเหตุเร่งด่วน ต้องการให้โอนเงิน เช่น บัญชีพัวพันอาชญากรรม ต้องตรวจสอบด่วน ลูกหลานประสบอุบัติเหตุ ต้องจ่ายค่ารักษา ได้รับสิทธิพิเศษ แต่ต้องโอนค่าธรรมเนียมก่อน เมื่อเหยื่อตกใจและหลงเชื่อรีบโอนเงิน โดยไม่มีการตรวจสอบ จึงตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
5. ขอเลขที่บัญชีเงินฝากเป็นที่พักเงิน
มิจฉาชีพจะติดต่อเหยื่อโดยใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น แกล้งทำทีเป็นเพื่อนใหม่บนโซเชียล, เสนอรายได้พิเศษ, ขอให้ช่วยโอนเงินแทน ฯลฯ จากนั้นจะ ขอเลขที่บัญชีธนาคารของเหยื่อเพื่อใช้เป็นบัญชีพักเงิน โดยอ้างว่า ยังไม่มีบัญชีของตัวเอง โอนเงินผิดบัญชี บางรายอ้างว่าให้รายได้เสริม เช่น งานฝากถอนเงิน งานแอดมินการเงิน เพื่อหลอกให้เหยื่อสมัครพร้อมส่งสมุดบัญชี บัตรประชาชน และบัตร ATM ให้ด้วย หากเหยื่อโอนเงินให้ไป บัญชีของเหยื่ออาจตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงหรือฟอกเงิน ได้ทันที เพราะข้อมูลชื่อและบัญชีของบุคคลดังกล่าวถูกใช้ในธุรกรรมผิดกฎหมาย
วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
- เปิดเผยข้อมูลในโซเชียลเน็ตเวิร์คเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำข้อมูลไปแอบอ้างใช้ทำธุรกรรม
- ควรเปลี่ยนรหัสผ่าน (password) ในการเข้าใช้บัญชีอีเมลหรือบัญชีโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นประจำ
- เมื่อได้รับการติดต่อแจ้งให้โอนเงินให้ ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนโอนเงิน เช่น ติดต่อหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงโดยตรง อาทิ กรมศุลกากร โทร. 1164 ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213 หรือสำนักงานตัวแทนในประเทศไทยของหน่วยงานต่างชาติ
- ไม่หลงเชื่อข้อเสนอผลตอบแทนที่ดูดีเกินจริงหรือสูงเกินจริง ควรพิจารณาให้รอบคอบถึงความเป็นไปได้ในความเป็นจริง
- ตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำ เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลการใช้งาน
- ติดตามข่าวสารกลโกงอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่ควรทำทันทีเมื่อตกเป็นเหยื่อ
หากถูกแอบอ้างใช้บัญชีอีเมล ควรติดต่อผู้ให้บริการอีเมลทันที เพื่อแจ้งเปลี่ยนรหัสผ่าน ในกรณีที่โอนเงินให้แก่มิจฉาชีพแล้ว ควรรีบดำเนินการดังนี้
- ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของสถาบันการเงินเพื่อระงับการโอนและการถอนเงิน
- หากไม่สามารถระงับการโอนเงินได้ ให้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลต่าง ๆ แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งลงบันทึกประจำวัน ณ ท้องที่เกิดเหตุ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการระงับการถอนเงินออกจากบัญชีที่โอนไป
- แจ้งระงับการถอนเงินออกจากบัญชีที่โอนไปกับสถาบันการเงินที่ใช้บริการ โดยสถาบันการเงินจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน จึงจะสามารถคืนเงินได้

กลโกงอื่น ๆ
นอกจากการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับบริการของสถาบันการเงินแล้ว มิจฉาชีพอาจหาทางหลอกลวงเหยื่อด้วยวิธีอื่น ๆ อีก เช่น เข้ามาทำความรู้จักและเสนอผลประโยชน์ที่เหยื่อจะได้เป็นสิ่งจูงใจ เพื่อหลอกล่อเหยื่อให้หลงเชื่อและนำเงินหรือของมีค่าอื่น ๆ มาให้มิจฉาชีพ โดยลักษณะการโกงที่พบบ่อยมีดังนี้
1. นายหน้าพาเข้าทำงาน
มิจฉาชีพแอบอ้างว่าสามารถพาเหยื่อเข้าทำงานในองค์กรระดับสูง พร้อมเรียกเก็บ “ค่าดำเนินการ” หรือ “ค่าเอกสาร” ล่วงหน้า โดยอ้างว่ามีเส้นสายหรือโควตาพิเศษ หากเหยื่อโอนเงินไปจะเสียเงินแต่ไม่ได้เข้าทำงานจริง จากนั้นมิจฉาชีพจะตัดการติดต่อหายตัวไปทันทีหลังรับเงิน
2. นายหน้าหาสินเชื่อ
มิจฉาชีพอ้างว่าสามารถจัดหาสินเชื่อให้ได้แน่นอนหากเหยื่อประวัติทางการเงินไม่ดี ไม่ต้องเช็กเครดิต พร้อมเรียกเก็บ “ค่าดำเนินการ” หรือ “ค่ามัดจำ” เมื่อเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินไปก็จะไม่ได้รับการพิจารณาสินเชื่อใด ๆ และสูญเงินค่าธรรมเนียมโดยไม่สามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดได้
3. เงินคืนประกันชีวิต
มิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกัน แจ้งว่าเหยื่อมีสิทธิได้รับเงินคืนจากประกันชีวิต / กรมธรรม์เก่า / เงินปันผล และหลอกขอข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน เลขบัญชี หรือ OTP เมื่อมิจฉาชีพได้ข้อมูลของเหยื่อไป จะถูกนำไปใช้แอบอ้าง หรือถูกขโมยเงินจากบัญชี
4. นายหน้าขายที่
มิจฉาชีพอ้างตัวว่าเป็นนายหน้ามีลูกค้าพร้อมซื้อที่ดิน หรือจะช่วยขายให้ได้ราคาสูง โดยเรียกเก็บค่าดำเนินการ ค่าธรรมเนียม หรือค่ามัดจำไป แต่ไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง
5. ตกทอง
มิจฉาชีพแกล้งทำทองตกหรือแสดงท่าทีเหมือนเพิ่งเก็บทองได้ แล้วชักชวนเหยื่อซื้อทองในราคาถูก หรือแลกของมีค่า เช่น โทรศัพท์หรือเงินสด โดยอ้างว่ารีบ ไม่มีเวลา โดยสุดท้ายทองที่ได้รับเป็นทองปลอม และทำให้เหยื่อสูญทรัพย์สิน
6. หวยปลอม
มิจฉาชีพอ้างว่าเหยื่อถูกรางวัลใหญ่แต่ยังขึ้นเงินไม่ได้ แล้วเสนอขายให้เหยื่อในราคาถูก จากนั้นหลอกให้เหยื่อจ่ายเงิน เมื่อเหยื่อหลงเชื่อซื้อและนำสลากฯ ไปขึ้นรางวัล จะพบว่าเป็นของปลอม นอกจากไม่ได้เงินแล้ว ยังอาจต้องรับโทษตามกฎหมายอีกด้วย
วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
- ตั้งสติ และพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบว่าเรื่องที่ได้ยินนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่
- ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับแหล่งที่เชื่อถือได้ หากมีการอ้างถึงธนาคาร หน่วยงานรัฐ หรือบุคคลอื่น ควรติดต่อสอบถามโดยตรงกับหน่วยงานเหล่านั้นก่อนดำเนินการใด ๆ
- อย่าหลงเชื่อข้อเสนอที่ดูดีเกินจริง เพราะมิจฉาชีพมักใช้ผลประโยชน์ เช่น เงินรางวัล สินเชื่อ หรือผลตอบแทนสูง มาหลอกล่อให้หลงเชื่อและตัดสินใจเร็ว
สิ่งที่ควรทำทันที หากตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
- รวบรวมหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น สลิปโอนเงิน ข้อความแชต หมายเลขโทรศัพท์ หรือบัญชีธนาคารของคนร้าย
- แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ตำรวจใช้ข้อมูลเหล่านั้นเป็นเบาะแสในการติดตามผู้กระทำผิด รวมถึงเป็นหลักฐานสำหรับดำเนินคดี
สรุปบทความ
แม้ในปัจจุบัน มิจฉาชีพอาจเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงไปหลายรูปแบบ แต่เครื่องมือที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเอง นั่นคือการมีสติ ความรู้ และไม่ประมาท และอย่าลืมว่า การตัดสินใจโดยไม่ไตร่ตรองเพียงชั่วขณะหนึ่ง อาจทำให้คุณตกเป็นเหยื่อ เสียหายทั้งทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือแม้แต่โอกาสในชีวิตได้ในพริบตา
ดังนั้น ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายได้อย่างเรียลไทม์ “ความรู้เท่าทันภัย ก่อนตกเป็นเหยื่อ” ไม่ใช่แค่เรื่องของหน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่อีกต่อไป แต่เป็น เรื่องของทุกคน ที่ต้องช่วยกันเรียนรู้ แบ่งปัน และส่งต่อ เพราะทุกครั้งที่เรารู้ทันมิจฉาชีพ เราไม่ได้แค่ปกป้องตัวเอง แต่เรากำลัง หยุดพวกเขาไม่ให้หลอกเหยื่อคนต่อไปได้สำเร็จอีกด้วย
อ้างอิงข้อมูลจาก
Recent Posts
View All